Tuesday, February 06, 2007

The History of Valentine's Day


Every February, across the country, candy, flowers, and gifts are exchanged between loved ones, all in the name of St. Valentine. But who is this mysterious saint and why do we celebrate this holiday? The history of Valentine's Day -- and its patron saint -- is shrouded in mystery. But we do know that February has long been a month of romance. St. Valentine's Day, as we know it today, contains vestiges of both Christian and ancient Roman tradition. So, who was Saint Valentine and how did he become associated with this ancient rite? Today, the Catholic Church recognizes at least three different saints named Valentine or Valentinus, all of whom were martyred.
One legend contends that Valentine was a priest who served during the third century in Rome. When Emperor Claudius II decided that single men made better soldiers than those with wives and families, he outlawed marriage for young men -- his crop of potential soldiers. Valentine, realizing the injustice of the decree, defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret. When Valentine's actions were discovered, Claudius ordered that he be put to death.
Other stories suggest that Valentine may have been killed for attempting to help Christians escape harsh Roman prisons where they were often beaten and tortured.
According to one legend, Valentine actually sent the first 'valentine' greeting himself. While in prison, it is believed that Valentine fell in love with a young girl -- who may have been his jailor's daughter -- who visited him during his confinement. Before his death, it is alleged that he wrote her a letter, which he signed 'From your Valentine,' an expression that is still in use today. Although the truth behind the Valentine legends is murky, the stories certainly emphasize his appeal as a sympathetic, heroic, and, most importantly, romantic figure. It's no surprise that by the Middle Ages, Valentine was one of the most popular saints in England and France.

Wednesday, January 03, 2007

Chocolate Mint Dessert

Chocolate Mint Dessert

Ingredients:
1 cup all-purpose flour
1 cup sugar
1/2 cup (1 stick) butter or margarine, softened
4 eggs
1-1/2 cups (16-oz. can) HERSHEY'S Syrup
MINT CREAM CENTER(recipe follows)
CHOCOLATE GLAZE(recipe follows)


Directions:1. Heat oven to 350° F. Grease 13x9x2-inch baking pan.

2. Combine flour, sugar, butter, eggs and syrup in large bowl; beat until smooth. Pour batter into prepared pan.

3. Bake 25 to 30 minutes or until top springs back when touched lightly in center. Cool completely in pan on wire rack. Spread MINT CREAM CENTER on cake. Cover; refrigerate. Pour CHOCOLATE GLAZE over chilled dessert. Cover; refrigerate at least 1 hour before serving. Cover; refrigerate leftover dessert. About 12 servings.

MINT CREAM CENTER: Combine 2 cups powdered sugar, 1/2 cup (1 stick) softened butter or margarine and 2 tablespoons green creme de menthe (OR 1 tablespoon water plus 1/2 to 3/4 teaspoon mint extract and 3 drops green food color may be substituted for creme de menthe) in medium bowl; beat until smooth.

CHOCOLATE GLAZE: Melt 6 tablespoons butter or margarine and 1 cup HERSHEY'S Semi-Sweet Chocolate Chips in small saucepan over very low heat. Remove from heat; stir until smooth. Cool slightly.

CHOCOLATE MINT TRIANGLES: Cut dessert into about twelve 3-inch squares; cut each square diagonally into halves. About 24 triangles.

DOUBLE CHOCOLATE MINT DESSERT: HERSHEY'S Mint Chocolate Chips may be substituted for HERSHEY'S Semi-Sweet Chocolate Chips in Chocolate Topping. Omit creme de menthe in Mint Cream Center.

Tuesday, November 21, 2006

...cake...

Slicing Cheesecakes and Layer Cakes


1. We used a plain cheesecake to demonstrate. The best tip for cutting a cake cleanly is to use a hot knife for each cut. To do this, fill a tall container--a pitcher or vase works well-- with hot tap water deep enough to cover the entire blade of your knife. Dip the knife into the hot water, and wipe it dry on a clean towel before making a cut. The constant dipping and cleaning will keep pieces of cake or smears of frosting from the previous slice from marring the next slice. Some people cut cheesecakes using cheese wire or dental floss; these cutting tools also work very well.

2. Depending on the size of your cake, you may choose to cut it into 12 or 16 slices. If cutting the cake into 12 even slices, begin by cutting the cake into quarters, then cut each quarter into thirds. Pull the knife out from the side of the cake, rather than lifting it through the top, for a smooth cut.

3. To yield 16 slices, cut the cake into quarters, cut each quarter in half, and cut each half in half again. For twelve slices, use the numbers on a clock as your guide. For odd-numbered servings or to cut the cake in ten slices, lightly score the surface of the cake before slicing to gauge the size of the pieces. If your knife isn’t long enough to reach across the cake, start from the center and work outwards.

4. The first slice is the hardest to remove. Run a knife or spatula along the bottom of the cake between the crust and the pan before lifting the first slice upward, outward and onto a serving plate.

5. If you’re serving a plain cheesecake, you may wish to garnish the slices individually. Chocolate sauces or berry purees are always popular. We placed a small amount of sour cream underneath the cake, and a dollop of good-quality strawberry preserves on top. The sweet jam and the sour cream make a delicious blend with the creamy cheesecake. For more recipes and ideas, see Perfect Cheesecakes.

Sunday, November 12, 2006

ผี...สุวรรณภูมิ

ตำนานมีอยู่ว่าหลังจากเปิดสนามบินสุวรรณภูมิได้ไม่นาน
มีพนักงานของศุลกากรที่ทำงานกะกลางคืน
มองเห็น หญิงสาวผ่านเข้าออก เสา ต้นนี้อย่างผิดสังเกตุ
พนักงานจึงแจ้งให้หัวหน้างานทราบ
หัวหน้างานเห็นความผิดปรกติจึงแจ้งช่างก่อสร้าง
ให้ทำการเคาะ ปูนที่เสานี้ออกมาหลังจากเคาะออกมาแล้ว
ทุกคนถึงกับตะลึง
เนื่องจากว่า สิ่งที่อยู่ในเสานั้น คือ
ศพหญิงสาวที่ถูกโบกปูนทับติดกับเสาต้นนั้น
หลังจากเอาศพออกมาแล้ว
ทางช่างก่อสร้างได้ทำการโบกปูนทับไปให้กลับเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง
*** ตำนานนี้ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่โบราณเค้าว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ***
เสาต้นนี้ตั้งอยู่บริเวณห้องทำงานของศุลกากรบริเวณ จุดรับกระเป๋า ขาเข้าต่างประเทศ
ความจิงมันมีรุปด้วย
แต่มันลงไม่ได้อ่ะ
>_<

Sunday, October 15, 2006

หนังสือกับความรัก

...อย่าตัดสินหนังสือว่าดี แค่ปกสวยๆ
...อย่าบอกว่า….น่ารักเหลือเกิน แค่คุยกันหนเดียว
คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย…ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกที่ชอบไม่ได้
คนที่บอกว่าจะไม่แต่งงาน…มักแซงหน้าแจกการ์ดก่อนคนอื่นเสมอ
...อย่าตกใจเมื่ออ่านหนังสือระดับ Best Seller แล้วไม่ชอบ
...ถ้ารักคนคนเดียวกับที่คนอื่นรัก...คงแย่งกันน่าดู
การชอบหนังสือสักเล่มไม่ได้หมายความว่า..หนังสือเล่มนั้น..เนื้อหาดีทุกหน้า
การรู้สึกดีกับใครสักคน..ไม่จำเป็นว่า..เขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย***
...อย่าเสียดายเวลา ถ้าอ่านหนังสือบางเล่มจบแล้วพบว่า..ไม่ใช่แบบที่ชอบ
จงรู้สึกดีกับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่...
เพราะอย่างน้อยที่ผ่านมา… ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแน่นอน
...แม้วันหนึ่งจะรู้ว่า… เขาหรือเธอคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด
เพราะอย่างน้อย...เราก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นและพร้อมที่จะตามหาคนของเราต่อไป
…การอ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลา
...เราไม่สามารถรู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก
...หนังสือมีสิ่งต่างๆ หลากหลายให้ศึกษา
ทดลองอ่านดู…ก่อนที่จะตัดสินว่าน่าเบื่อ
... บางครั้ง…สิ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์และมองผ่านมันไป….
วันหนึ่งมันอาจจะมีค่าสำหรับเรา…แล้วในตอนจบ
…ก็จะรู้ว่าหนังสือประเภทไหนเหมาะกับเราที่สุด
…เหมือนกับความรัก…
...ทุกครั้งที่เรามีความรักกับใครสักคนนั้น แม้ทุกอย่างจะเดินมาถึงจุดจบ
…แต่คนทั้งคู่ย่อมได้รับอะไรจากสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาโดยไม่รู้ตัว
อย่างน้อยที่สุด…ก็ได้บทเรียนที่มีค่าเพิ่มอีกบทหนึ่งบทเรียน
ที่จะนำไปสร้างความรักครั้งใหม่ให้มีรากฐานที่ดีกว่าที่ผ่านมา
… สำหรับฉัน "ความรัก" เปรียบเหมือน..
... การได้อ่านหนังสือหลายๆ เล่ม (อ่านทีละเล่มนะจ๊ะ)
แต่ละเล่มที่ผ่านไปสอนให้ฉันเข้มแข็ง…
สอนให้ฉันรู้จักโลกที่เป็นจริง…
และสอนให้ฉันรู้จักใจของตัวเอง
… แม้ว่าตอนจบของแต่ละเล่มจะไม่สนใจ
แต่ฉันก็ไม่คิดจะหยุด ท้อ หรือกลัวที่จะค้นหา
ฉันจะอ่านต่อไป… จนกว่าจะเจอ "หนังสือของฉัน"
คุณล่ะ…เจอรึยัง?
ถ้าเจอแล้ว…อย่าลังเลที่จะหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน
อย่ากลัวที่จะเสียเวลาและผิดหวัง
ไม่แน่นะ…เล่มที่อยู่ในมือตอนนี้น่ะ
อาจจะตรงกับความรู้สึกของคุณที่สุดก็ได้

Monday, September 11, 2006

ทำไมท้องฟ้าถึงเปนสีฟ้า

ทำไมเวลาเรามองท้องฟ้าตอนเช้า ถึงเป็นสีฟ้า แต่เวลามองตอนกลางคืนถึงเป็นสีดำ
และเมื่อมองตอนกลางคืน เราจะเห็นดวงดาวด้วย
แต่เมื่อตอนกลางวัน เรากลับมองไม่เห็นดาวซะแล้ว
ทั้งที่จะว่าไป ดาวก็อยู่ที่นั่นมาตลอด ไม่ได้ย้ายที่ไปไหนเลย
คำตอบแรกของเรื่องนี้ก็คือ
เพราะดวงอาทิตย์นั้นมีแสงสว่างมากจนกลบทุกอย่างหมดน่ะสิ
ในขณะที่แสงจากดวงจันทร์จะอ่อนกว่ามาก

และข้อสองก็คือ อะตอมบางอย่างนั้นทำปฎิกิริยาบางอย่าง เมื่อแสงอาทิตย์สัมผัสมัน
ปฎิกิริยานี้เรียกว่า Rayleigh
คือการที่แสงทำปฏิกิริยากับวัตถุ และทำให้ธาตุนั้นจางสีลง จนอ่อนกว่าแสง

ดังนั้น เมื่อเรามองท้องฟ้า แสงที่เห็นก็คือแสงจากดวงอาทิตย์
ส่วนสีฟ้าที่เห็น เป็นแค่อะตอม ที่ทำปฎิกิริยากับแสงอาทิตย์
แล้วออกมาเป็นสีฟ้าใสกับสายตาของเรา
(เพราะสีอื่นๆ อย่างเหลือง แดง เขียวนั้น ไม่ทำปฏิกิริยากับแสงอาทิตย์ จึงมองไม่เห็น)
และนั่นเอง ทำให้เราเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า

Thursday, August 24, 2006

^^...รัก...^^

#^^หากว่ารักแล้วต้องช้ำ เต็มใจจะช้ำถ้าได้รัก^^#
รัก..........แท้..เป็น..........ตำนาน
รัก..........สิ้นลมปราน..เป็น..........บทประพันธ์
รัก..........ไม่แปรผัน..เป็น..........นิยาย
รัก..........จนวันตาย..เป็น..........นิทาน
รัก..........ตลอดกาล..เป็น..........ละคร
รัก..........อยู่ทุกตอน..เป็น..........ละครน้ำเน่า
รัก..........ไม่เคยเก่า..เป็น..........จริงในช่วงแรก
รัก..........ในความแปลก..เป็น..........คำฮิต
รัก..........ด้วยชีวิต..เป็น..........ลิเก
รัก..........ไม่โลเล..เป็น..........ความฝัน
รัก..........เธอนิรันดร์..เป็น..........ชื่อเพลง
รัก..........นะตัวเอง..เป็น..........เด็กอมมือ
รัก..........ซื่อสัตย์..เป็น..........คำลวง
รัก..........หมดทรวง..เป็น..........คำติดปาก
รัก..........เธอมาก..เป็น..........คำฮอต
รัก..........เดียวตลอด..เป็น..........ไปไม่ได้!!!!!